เทศน์พระ

ลืมตัว

๕ ม.ค. ๒๕๕๘

 

ลืมตัว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมะเพราะเราบวชมาเราแสวงหา เราต้องการสัจธรรม เราแสวงหาเห็นไหม เราบวชมานี่บวชมาเพื่อเผชิญกับความจริง เราบวชมาเพื่อหาความจริง แล้วความจริงในโลกนี้หาไม่ได้ ความจริงในโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอจินไตย โลกเป็นอจินไตย โลกมันจะแปรปรวนของมันไปอย่างนี้

ถ้าโลกแปรปรวนไปอย่างนี้เห็นไหม โลกนอก โลกในหัวใจของเราแปรปรวนยิ่งกว่า หัวใจเราหมุนเร็วกว่าโลกนี้อีก ถ้าหัวใจเราหมุนเร็วกว่าโลกนี้อีก สิ่งที่มันหมุนนี่มันหมุนไป แล้วจะเอาความจริงมาจากไหน ถ้าเอาความจริงมาจากไหน เอาความจริงไม่ได้เห็นไหม เราต้องหยุดหัวใจเราจากภายในให้มันนิ่ง เห็นไหม คนที่เดินอยู่ คนที่เคลื่อนไหวอยู่ คนที่วิ่งอยู่นี่จะมองสิ่งใดก็มองด้วยสายตาพร่ามัว ถ้าจะมองสิ่งใดด้วยสายตาชัดเจน เราต้องหยุดโลกของเราภายในให้โลกเราหยุดก่อน ถ้าโลกเราหยุดก่อนเห็นไหม เราเห็นภัยในวัฏสงสารไง ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสารนี่เราแสวงหาสัจธรรม ถ้าแสวงหาสัจธรรมเราต้องทำความเป็นจริงขึ้นมาเพื่อจะได้สัจธรรมในหัวใจของเรา

เราจะไปหาแสวงหาสัจธรรมจากภายนอก สัจธรรมจากภายนอกเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราว่านี่มันเป็นปรมัตถธรรมๆ ปรมัตถธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้เป็นกิริยา เป็นวิธีการ แล้วบอกมันเป็นปรมัตถ์ได้ยังไง มันเป็นวิธีการ มันเป็นชื่อ มันเป็นบัญชี ความจริงมันไม่มีอยู่ในนั้นหรอก มันเป็นบัญชี บัญชีควบคุมไง บัญชีควบคุม กิริยาที่มันเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น ถ้าเราจะทำความจริงของเรา เราจะต้องทำใจของเราให้นิ่งก่อน ถ้าทำใจของเราให้นิ่งมันจะมีสติมีปัญญา คำว่า “มีสติมีปัญญา” ถ้าเรามีสติสิ่งต่างๆ เราทำนี่มันสมบูรณ์ ทำสิ่งต่างๆ ความผิดพลาดมันมีน้อย ถ้าเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าไม่ขาดสติ มีสติขึ้นมา มันมีสติมีสตังขึ้นมานี่มันทำสิ่งใดมันจะเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา

แต่เราขาดสติเห็นไหม ทำสิ่งใดจับพลัดจับผลูทำแล้วมันผิดพลาดไปทั้งนั้นเพราะมันขาดสติ แล้วขาดสตินะ ความคิดมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ เวลาเราตั้งใจนี่ เราบวชมาเราก็ตั้งใจ เราปรารถนาที่จะพ้นจากทุกข์นะ แล้วเรามีครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้นำขึ้นไป ท่านพ้นจากทุกข์ไป เราก็มีเป้าหมาย เราก็มีเป้าหมายมีความปรารถนาจะทำแบบนั้น เราก็ตั้งใจจริงของเรา พอตั้งใจจริงขึ้นมา เราบวชมานี่บวชมาใหม่สดๆ ร้อนๆ มันมุมานะ มันมีการกระทำ มันตั้งใจของมัน พอเรามันคุ้นชินของมันไปนี่มันเริ่มจืดจางไป มันเริ่มเหลวไหลไป ความเหลวไหลไปอย่างนั้นเห็นไหม พอเหลวไหลไปถ้ามันไม่ทำผิดพลาดไป มันยังเป็นคนดีอยู่นะ

เวลาเราบวชมาแล้ว เราบวชมาเรามีศีลมีธรรม เพราะเราประกาศตนว่าเราเป็นพระ เราถือศีล ๒๒๗ เวลามันลืมตัวขึ้นมามันเหยียบย่ำ พอมันเหยียบย่ำมันลืมตัว ลืมตัวแล้วมันทำเสียหายไปหมด ลืมตัวมันหลักลอยไง ถ้าลืมตัวแล้วมันไม่มีจุดยืน

ถ้าคนที่มีสติมีปัญญานี่มันมีจุดยืน มันไม่ลืมตัว ถ้าคนลืมตัวนะ ลืมตัว ดูสิ การภาวนาที่ลืมตัวนี่มันภาวนาไม่ได้เพราะอะไร? เพราะพุทโธก็พุทโธไม่ได้ พุทโธก็สักแต่ว่า พุทโธก็ทำเลื่อนๆ ลอยๆ ไปเห็นไหม แล้วบอกเราได้ภาวนาแล้ว ได้พุทโธแล้ว ได้ปฏิบัติแล้ว เพราะมันลืมตัว ลืมตัวมันก็ขาดสติ ลืมตัวมันก็ขาดเจตนา ลืมตัวมันก็หลักลอย พอหลักลอยมันไม่มีอะไรสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเราเลย เพราะมันเป็นการลืมตัวลืมตน

ดูทางโลกเขา นี่คนที่เขาลืมตัวเห็นไหม ดูสิ คนที่เขายกยอปอปั้นจนหลงใหลไป เขาไปสร้างหนี้สร้างสิน เขาไปสร้างความผูกพันเป็นโทษทางกฎหมาย เพราะอะไร เพราะเขาลืมตัว ถ้าเขามีสติมีปัญญาเขาไม่ลืมตัวของเขา เขามีสติของเขา ไม่มีความโลภเข้ามาในหัวใจ ไม่มีมักมากในชื่อเสียงในกิตติศัพท์กิตติคุณ แล้วจะไม่มีใครเขาหลอกลวงหรอก

คนที่จะมาหลอกลวงได้เพราะอะไร เพราะความโลภของเรา เราอยากได้ เราอยากได้ของเขา เขาก็ปลิ้นปล้อน เขาก็ฉ้อฉล เขาก็พยายามหลอกลวง พอหลอกลวงเราก็เชื่อเขา เชื่อเขาเพราะเรามีความอยากได้ พอมีความอยากได้เห็นไหม เพราะลืมตัวไง ถ้าเราไม่ลืมตัวล่ะ เราเป็นใคร เราไม่ใช่วัวลืมตีน วัวนี่มันไม่รู้จักรอยเท้าของมันเห็นไหม มันไปไหนมันกลับคอกมันไม่ถูก

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่ลืมตัวนะ การลืมตัวทำให้เสียหาย ถ้ามีสติปัญญา เราจะหาความจริง ความจริงมันเป็นสัจธรรม ถ้าเป็นสัจธรรมเราต้องเป็นความจริง ความจริงกับความจริงมันจะเข้าหากัน ความจริงมันมาจากไหนล่ะ ความจริงศึกษามาแล้วเป็นความจริงไหม เวลาเขาวิจัยกันทางศาสนา ทางวิชาการเขาวิจัยกันว่าอันนั้นถูกต้อง อันนั้นผิดพลาดนี่เขาวิจัยกัน

วิจัยก็วิจัยวิธีการ มันไม่มีเนื้อหาสาระ ถ้าเราจะมีเนื้อหาสาระของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครทำได้จริง ถ้าจิตมันสงบ คำว่า “จิตสงบ” เราพูดถึงผลของมัน แล้วผลของมัน เหตุมันต้องมีที่มาที่ไปของมัน ถ้าพูดถึงผลของมันถูกต้องขึ้นมานี่เขาจะสาวไปหาเหตุมันทำยังไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราพูด เราพูดแต่เรื่องเหตุไง วิธีการๆ แล้วก็เอามาเถียงกัน แต่ผลมันไม่มีเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเราไง ถ้าผลมันเกิดขึ้นมานี่เราทำยังไง มันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่นี่ สิ่งที่เราปรารถนาสัจธรรม เราแสวงหากันอยู่นี่ เราแสวงหาสัจธรรม แล้วเอาบัญชีนี่บัญชีควบคุมมันเห็นไหม เวลาเราพูดถึงพุทธพจน์ๆ มันบัญชีมันทั้งนั้น มันเป็นชื่อของมัน มันเป็นหมวดหมู่ของธรรม เป็นหมวดเป็นหมู่ของธรรม แต่ความจริงมันมาจากไหน ไปท่องจำมันมา นี่เป็นหมวดเป็นหมู่จัดไว้นะ ดูสิ คลังสินค้าเวลาเขาเก็บของเขา เขามีการจัดเป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นสถานที่ที่มันคัดแยกไว้

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นแบบนั้น แล้วเราก็ไปศึกษามา แล้วว่าเรามีแต่บัญชีไง นี่ดูสิ ทางธุรกิจเขาเขาขาดทุนทางบัญชีเห็นไหม เวลาเขาลดค่าเงินบาท เวลาเงินมันลอยตัวขึ้นมา เงินนี่ปฏิวัติเงินตรามันเปลี่ยนแปลง ขาดทุนทางบัญชี ของมันอยู่ครบตามจำนวนนั้นแต่มันขาดทุนทางบัญชี ตัวเลขมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แล้วเราก็ไปควบคุมทางบัญชีนั้น นี่ของเขามีอยู่นะ

นี่ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็บอกทางบัญชีนั้นไว้เห็นไหม แล้วเราไปศึกษาในบัญชีนั้นมา ศึกษาวิธีการนั้นมา แล้วเราศึกษาทางวิชาการมาแต่เราไม่มีข้อเท็จจริง เราไม่มีสินค้า คลังสินค้าว่างเปล่า ไม่มีบรรจุภัณฑ์ในคลังสินค้าเลย แต่เวลาเรามีการศึกษาเราก็ไปฝึกงานกับเขา เราก็ได้ไปฝึกงานไปดูว่าสินค้าเขาจัดวางกันยังไง แล้วจัดวางเป็นสินค้าของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ เราก็ว่าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันมีจริงไหมล่ะ มันไม่มีจริงเห็นไหม ถ้าไม่มีจริงเห็นไหม ถ้าไม่มีจริงขึ้นมานี่แล้วถ้าหมั่นเพียร มีการกระทำ มันเริ่มต้นมาจากนี้ เริ่มต้นมาจากความจริงของมนุษย์ ความจริงของความเป็นสมมุติ ความจริงของโลกไง โลกนี้เป็นอนิจจัง มันหมุนเวียนของมันไป กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เริ่มต้นเรามา เราก็มีความมั่นคงมีความตั้งใจทั้งนั้น นี่เห็นไหม กาลเวลามันกัดเซาะ กาลเวลามันกัดกินไป นี่เวลากาลมันผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย วันเวลามันล่วงไปเรื่อย แล้วมันก็กัดเซาะความเจตนาของเรา กัดเซาะความมั่นคงของเราอ่อนด้อยไปเรื่อยเห็นไหม จะอ่อนด้อยไปเรื่อยนะ ถ้ามันน้อยเนื้อต่ำใจเดี๋ยวหลักลอย

พอหลักลอยเห็นไหม นี่ลืม ลืมตัวลืมตนไปนะ มันล่องลอยไปเหมือนว่าวเชือกขาด ดูว่าวสิ เขาเล่นว่าวกัน ใครควบคุมเห็นไหม สายเชือกว่าวของเขานี่เขาควบคุมว่าวของเขาได้ ถ้าว่าวมันเชือกขาด โดนแรงลมมันเสียดสี มันไปเสียดสีสิ่งใด เชือกมันเปื่อยมันขาด มันลอยละลิ่วไปนะ ไม่รู้จะไปตกที่ไหน แล้วแต่คลื่นลมวนไปมันตกไปอีกซีกโลกหนึ่งเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าลืมตัวขึ้นไปแล้วนี่ เจตนาเรานี่เห็นไหม เจตนาของเรานี่เรามีสติ เรากำหนดพุทโธๆ จิตมันตั้งมั่น จิตมันเป็นสันทิฏฐิโก จิตมันเป็นความจริงของเรา มันเป็นฐาน บาทฐานของเรา เราล่องลอยไปล่องลอยไปจนหาจุดหมายไม่ได้ พอหาจุดหมายไม่ได้เห็นไหม นี่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นี่บัญชีในคลังสินค้าเป็นหมวดเป็นหมู่ นี่พยายามจัดให้มันเป็นหมวดเป็นหมู่เป็นอะไร มันมีอยู่จริงไหม มันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้ามันเป็นจริงทางบัญชีมันก็ยังดีนะ เป็นทางบัญชีหมายความว่าภาคปริยัติเขาเรียนมา เขาศึกษามา เขามีความรู้ในทางการศึกษา สุตมยปัญญาคือการท่องจำกันมา พอท่องจำกันมานี่ ถ้าเขาบังคับตัวของเขาอยู่ในร่องในรอย เขายังไม่ทำผิดศีลผิดธรรมนะ

แต่ถ้าเราลืมตัวของเรา เราบอกเรามีสติมีปัญญาของเรา แล้วเรามีความเห็นของเรา เราทำด้วยความตัณหาความทะยานอยากด้วยความพอใจของเรา มันจะผิดพลาดอย่างไรนะ หลวงตาท่านพูดแล้ว “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม” มันผิดศีลผิดธรรม ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา มันเหยียบธรรมเหยียบวินัยนั้นไปไง ถ้ามันเหยียบธรรมเหยียบวินัยไปนี่เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป เหยียบธรรมวินัยนี้ไป เหยียบคำสั่งคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไป แล้วเวลามันลืมตัวขึ้นมาแล้วมันบอก “สิ่งนั้นไม่จำเป็น สิ่งนั้นใครๆ ก็ทำ พระที่เขาทำทำกันอย่างนั้น”

พระที่เขาทำอย่างนั้นมันเป็นพระที่ไหน มันบวชเข้ามาเพื่อความสะดวกสบายของเขา มันบวชขึ้นมาเพราะเขาเข้ามาเพื่อความสุขความสบาย แต่เราบวชขึ้นมาเพื่อความพ้นทุกข์ ความสุขสบายในทางโลกเราก็พอแสวงหาได้ แสวงหาด้วยปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็มีของเราพร้อมอยู่แล้ว แต่จิตใจของเรามันเร่าร้อน จิตใจเรามันทุกข์

แต่เวลาเขาบวชมาเขาบวชหนีทุกข์ขึ้นมา เขาบวชมาเพื่อความสะดวกสบาย บวชมาแล้วมันมีปัจจัยเครื่องอาศัย เขาเข้ามาเพื่อสิ่งนั้น นั่นมันลืมตัวลืมตนเห็นไหม มันทำลาย นี่มันเหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป มันเหยียบธรรมวินัยนั้นไป เราจะทำตัวอย่างนั้นไหม ถ้าเราไม่ทำตัวอย่างนั้น เราเห็นแล้วมันเป็นโทษเป็นภัยไง มันไปสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น

ดูสิ ดูสมัยพุทธกาล เวลาพระบวชแล้วนี่ไปเบียดเบียนสังคมตลอดเวลา จนเวลาคฤหัสถ์เขาเห็นวัวเห็นควายมา นี่สีมันเหลืองๆ เหมือนพระ นี่เขาตกใจเขาวิ่งหนีเลย นี่เพราะอะไรล่ะ เพราะมันเป็นประเพณีใช่ไหม ในเมื่อสมณะไปขอเขาไปเบียดเบียนเขา นี่จนเขาต้องหลบต้องหลีกของเขา เขารับสิ่งนั้นไม่ได้

เราบวชมาเป็นพระเราไม่ต้องการสิ่งนั้น เราเป็นมนุษย์ เราก็มีสมองมีมือมีเท้าเหมือนกัน เราก็ทำมาหากินของเราได้ นี่ทำมาหากินทางโลกมันก็กระเสือกกระสนไปกับทางโลกนั่นแหละ มันกระเสือกกระสนไปด้วยหาปัจจัยเครื่องอาศัย แต่หัวใจมันเป็นทุกข์เพราะมันไม่มีคุณธรรมในหัวใจ แล้วเราก็มีสติมีปัญญาเราก็ว่าเราเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา นี่การกระทำการประพฤติปฏิบัติมันกำลังรุ่งเรืองเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมีร่องมีรอยขึ้นมา เราก็ได้เสียสละการเป็นฆราวาสมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระนี่ปัจจัยเครื่องอาศัยสิ่งนั้นมา เราก็เสียสละมาบวชเป็นพระแล้ว พระเป็นผู้มักน้อยเห็นไหม ดูสิ ถือธุดงควัตร ได้สิ่งใดมายังสันโดษ เราถือสันโดษมักน้อยสันโดษของเรา นี่เพื่ออะไร เพื่อถือธุดงควัตรเข้าไปอีก เพื่อให้มันขัดเกลากิเลส สิ่งนั้นเราไม่ให้ไปบำรุงบำเรอกิเลสให้มันตัวอ้วนๆ ไง เราไม่ต้องการให้กิเลสมันอ้วนๆ เราจะพยายามจะชำระล้างมัน เราจะมากำจัดมัน เราจะมีสติปัญญาขึ้นมาควบคุมดูแลมัน ถ้าควบคุมดูแลมัน สิ่งนั้นเราเป็นฆราวาสเราก็แสวงหาได้ เราบวชมาเป็นพระแล้วสิ่งนั้นเราจะไปจมอยู่กับปัจจัยเครื่องอาศัยนั้นได้ยังไง

เราจะแสวงหาด้วยมรรคผลนิพพาน เราแสวงหาศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นมาเห็นไหม เกิดขึ้นมาด้วยธุดงควัตร ธุดงควัตรเพื่อขัดเกลากิเลสๆ คำว่า “ขัดเกลากิเลส” คือว่าขัดแย้งมัน มันจะต้องการสิ่งใด มันต้องการสะดวกสบายสิ่งใดเห็นไหม เราไม่ต้องการ ธุดงควัตร ธุดงควัตรฉันมื้อเดียว ฉันหนเดียว ฉันภาชนะเดียวต่างๆ นี่เพื่อขัดเกลามัน ไม่ได้ดั่งปรารถนา ไม่ได้ดั่งใจทั้งสิ้น

เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชมาเพื่อความพ้นทุกข์ เราไม่ได้บวชมาเพื่อความสุขสบาย เราไม่ได้บวชมาแบบวัวลืมตีนไง พอบวชขึ้นมามีคนนับหน้าถือตาไง พอมีคนนับหน้าถือตาถือว่ามีศักยภาพไง เราต้องการอะไร เราต้องการให้คนมาให้เกียรติให้คุณค่าเราหรือ เราต้องการคุณธรรมต่างหากล่ะ เราต้องการสัจจะความจริงขึ้นมาล่ะ เราต้องการความเป็นจริงให้กิเลสมันยอมรับ ให้กิเลสมันยอมรับ...ทำสมาธิได้เห็นไหม เกิดปัญญาขึ้นมาได้ เราจะเกิดมรรคญาณทำลายมัน เราจะฆ่ามัน เราจะฆ่ากิเลสในหัวใจของเรา เวลาฆ่ามันแล้วยถาภูตังเกิดญาณทัสสนะ ยถาภูตังคือกิเลสทำลายมันแล้วเกิดญาณทัสสนะรู้ว่ากิเลสสิ้นไป

ไอ้นี่มันไปส่งเสริมมัน มันวัวลืมตีน คนมันลืมตัว! คนมันลืมตัวแล้วมันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์เลย เพราะมันลืมตัว ลืมตัวคือขาดสติ ถ้ามีสติ มีสติแล้วมันไม่ลืมตัว มีสติเห็นไหม ทบทวนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เราศึกษามานี่บัญชีควบคุมนั่นแหละเราทบทวนของเราได้ เราทบทวนสิ่งใด เพราะเราปฏิบัติขึ้นมายังไม่มีคุณธรรมใช่ไหม เราก็ทบทวนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรมสิ ในธรรมก็ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านแยกแยะให้เลย กุศล อกุศล สิ่งใดที่เป็นกุศล กุศลนี่คุณงามความดี ถ้าทำคุณงามความดีนะ สิ่งนี้เกิดบารมีธรรม

อกุศล! อกุศลเห็นไหม ทำแต่ความชั่ว นี่ทำแต่การเบียดเบียนคนอื่น มันเบียดเบียนคนอื่น มันเบียดเบียนคือมันกีดมันขวาง มันกีดมันขวางคนที่ทำคุณงามความดีกัน คนเขาต้องการความสมานสามัคคี คนเขาต้องการสัปปายะ เขาต้องการที่สงบสงัด เขาต้องการที่การกระทำ แล้วเราไปกีดไปขวาง ไปทำให้มันฟูให้มันฟูขึ้นมา มันเป็นอกุศล ถ้าเป็นอกุศลอำนาจวาสนาบารมีมันจะมาจากไหนล่ะ มันก็ไม่มีของมันเห็นไหม อำนาจวาสนาบารมีมันก็ยุบยอบของลงไป นี่ที่การกระทำ

แล้วเวลาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเห็นไหม พอผู้ใหญ่ขึ้นมานี่มันลืมตัวลืมตนขึ้นมา มันแสร้งการกระทำ เพราะเราเป็นผู้ใหญ่จะทำสิ่งใดคนก็ไม่กล้าติ ไม่กล้าเตือน ไม่กล้าบอกกล่าว ถ้าไม่กล้าบอกกล่าวเพราะมันกลัวอำนาจกลัวอิทธิพล แต่มันไม่ได้กลัวธรรม ถ้ามันกลัวธรรมจะสูงส่งขนาดไหน จะต่ำต้อยขนาดไหน เขาเตือนกันได้ นี่อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร นี่สัทธิวิหาริก นี่อาจริยวัตรอาจารย์ของตัวมีความกระสัน มีความอยากสึก ลูกศิษย์นี่เป็นสัทธิวิหาริกก็ต้องหาอุบายวิธีการที่พยายามจะบอกว่าสิ่งนั้นมันไม่ดี บอกเป็นอุบายเห็นไหม แม้แต่สัทธิวิหาริกก็เตือนอาจารย์ของตัวเองได้ ถ้ามันเป็นธรรม ถ้ามันไม่ลืมตีนไง วัวมันไม่ลืมตัวลืมตีนนี่มันเตือนกันได้ มันบอกกันได้ ถ้ามันบอกกันได้นี่สังคมของพระเราไง

พระเรามันมีสังคม มีการบอกการเตือนกัน การบอกการเตือนกันเห็นไหม ดูสิ ในพระไตรปิฎกเวลาอาจารย์กระสันอยากจะสึก อาจารย์มีปัญหาขึ้นมา สัทธิวิหาริกเป็นลูกศิษย์นี่จะหาอุบายยังไง จะพยายามชักนำอาจารย์ให้มีสติมีปัญญายังไง มันลืมตัวแล้ว กิเลสมันครอบงำแล้ว มันจะผิดพลาดไปแล้ว แล้วผิดพลาดแล้วมันจะไปถึงไหนล่ะ ถ้ามันไปเห็นไหม มันไปอย่างนั้นมันก็ไปโดยอำนาจของกิเลสไง อำนาจของกรรม อำนาจของอกุศลไง เพราะในสถานะของความเป็นพระ ในสถานะของเป็นนักบวช สมณะสารูป เวลาเราบวชมาแล้วเรามีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่กิเลสมันก็ปฏิบัติกับเราด้วย ไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติแล้วนี่เวลาบวชมาแล้วเราปฏิบัติขึ้นมากิเลสมันจะชื่นชม กิเลสมันจะร่วมมือกับเรา

กิเลสมันร่วมมือกับเราไม่ได้ เพราะกิเลสมันมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว งานของกิเลสคืองานการทำลาย งานทำลายคุณธรรม เพราะอะไร เพราะทำลายคุณธรรมมันเป็นอวิชชา มันเป็นความลุ่มหลงใหล มันเป็นการลืมตัวลืมตนไป มันเป็นว่าวเชือกขาดไป กิเลสต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนั้นเพราะมันทำสิ่งใดล่ะ เพราะใจนั้นได้สร้างอกุศล ได้สร้างความชั่วร้ายขึ้นมาเพื่อเป็นบาปเป็นกรรมเวียนว่ายตายเกิด นั้นเป็นผลงานของกิเลส เพราะกิเลสมันอาศัยหัวใจของสัตว์โลก ภวาสวะ ภพ นี่ปฏิสนธิจิตเป็นที่อยู่อาศัย แล้วถ้ามันจะสร้างแต่เวรแต่กรรมขึ้นมามันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กิเลสมันยิ้มย่องผ่องใสเพราะอยู่ในอำนาจของมัน

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีสติ เรามีสติขึ้นมา เรามีความเจตนา เราตั้งใจของเรา เราตั้งใจว่าแม้แต่ตั้งใจเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์

“อานนท์ เธอคิดระลึกถึงความตายวันละกี่หน”

“ระลึกทุกลมหายใจเข้าออก” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกช้าไปๆ ตลอดเห็นไหม มันต้องระลึกทุกวินาที นี่ไง ที่ว่าสิ่งที่ไม่ลืมตัวลืมตน เพราะการเวียนว่ายตายเกิดถ้าสร้างบาปอกุศลมามันเป็นงานของมารเป็นหน้าที่ของมาร มารมันต้องทำให้เราสร้างแต่เวรแต่กรรมขึ้นมา มันจะได้ครอบงำหัวใจของเรา

แต่เวลาเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรามีเจตนาตั้งมั่นขึ้นมา เราจะบริกรรมพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เรารักษาหัวใจของเรา เราจะไม่ลุ่มหลงไป เราจะไม่หลงใหลไปกับกาลเวลา ไปกับความลุ่มหลงในตัณหาความทะยานอยาก ในสมุทัยที่มันนอนเนื่องมากับใจ ถ้ามีสติปัญญานี่มันพยายามกระทำของเราขึ้นมา

กระทำของเรามันเป็นงานไหม? เป็น มันเหนื่อยยากไหม? เหนื่อย เพราะอะไร ถ้ามันปล่อยสบายๆ ปล่อยมันไหลไปตามอารมณ์ มันไหลไปของมันเรื่อย มันไหลมันคิดของมันไปโดยความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ความนี่มันเป็นหน้าที่ของมารไป ถ้าเรามีสติเห็นไหม เรามีสตินี่เราตั้งใจ ถ้าตั้งใจนี่มันมีหางเสือ เรือมีหางเสือแล้ว เรือไม่ใช่ไหลไปตามคลื่นลม เรามีสติๆ ระลึกรู้อยู่ มีเจตนาเห็นไหม บังคับ ถ้าพุทโธก็พุทโธซะ ถ้าพุทโธไม่ได้ก็ปัญญาอบรมสมาธิ

นี่ไง ถ้าเราพุทโธ เราพุทโธๆๆ มันมีคำบริกรรม มันไม่ไหลไปตามสัญญาอารมณ์ ถ้ามันไม่ไหลไปตามสัญญาอารมณ์มันก็ไม่ไปเข้าทางของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ไม่เป็นคนลืมตัว เพราะคนลืมตัว คนขาดสติ มันถึงได้เหลวไหลไปขนาดนั้น แต่ถ้ามันไม่ลืมตัว มันมีสติ มันทำไม่ได้

มันมีสติเห็นไหม ดูสิ เวลาสัตว์สัตว์มันยังรู้ดีรู้ชั่ว แล้วเราเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็รู้ดีรู้ชั่วอยู่แล้ว แล้วยังบวชเป็นพระเข้ามาอีกด้วย พระมันมีข้อวัตรปฏิบัติ มันมีศีลธรรม มันมีข้อบังคับอยู่แล้ว แล้วข้ามหัวมันไป เหยียบย่ำมันไป แล้วก็เข้าข้างตัวเองว่ามันเป็นประโยชน์ มันเป็นคุณสมบัติของอาจารย์ มันเป็นคุณสมบัติของพระ พระที่มีศักยภาพ พระที่มีชื่อเสียงเขาก็ทำกันอย่างนั้น

แต่ไม่เห็นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ เห็นไหม เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านนั่ง ๗ วัน ๗ คืน ท่านนั่งตลอดรุ่ง ท่านทำของท่าน เวลาครูบาอาจารย์ของเรานี่ท่านทำด้วยความวิริยะความอุตสาหะนี่ไม่มีใครเอามาพูดถึงเลย แต่เวลาท่านผ่อนคลาย เห็นไหม ดูสิ เราร่างกายยังเข้มแข็งอยู่ วินัยนี่เราก็รักษาได้ทั้งนั้น แต่เวลาเราชราคร่ำคร่าขึ้นไปวินัยยกเว้นนะ ภิกษุป่วยไข้นี่วินัยยกเว้น แต่หลวงปู่มั่นท่านไม่ยกเว้น ท่านรักษาของท่านตลอดไป

แต่ครูบาอาจารย์บางข้อมันขาดกับเรื่องสรีระ ในเมื่อมันเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะทำอย่างนั้นไม่ได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะรักษาวินัยอย่างนั้น แต่ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่า ภิกษุป่วยเห็นไหม ภิกษุป่วยนี่อนุโลม ภิกษุป่วยไม่ปรับอาบัติๆ แต่เราก็ไปมองกันตรงนั้นไง ไปมองแต่ว่าเวลาท่านป่วยท่านไข้ท่านชราภาพแล้วนี่ท่านทำได้ๆ แต่เวลาท่านหนุ่มท่านแน่นท่านพยายามต่อสู้กับกิเลสของท่านล่ะ

เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราไม่มีกิเลสใช่ไหม บวชมานี่เป็นพระอรหันต์มาเลยเนาะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเราบวชมา ท่านบอกว่าบวชมาเฉพาะร่างกาย หัวใจมันยังไม่บวชด้วย กิเลสมันไม่ได้บวชเลย แล้วเราบวชมาแล้วนี่เราต้องมาประพฤติปฏิบัติ ตบะธรรมแผดเผามัน นี่ตบะธรรมเห็นไหม วิปัสสนาญาณ นี่ปัญญาการรู้แจ้ง การชำระล้าง การทำลายมัน เราต้องมาฝึกมาหัด มาปฏิบัติ มันถึงจะมีจริงขึ้นมา สิ่งที่เราศึกษามาศึกษานี่มันบัญชีคุม มันมีแต่บัญชีมันไม่มีข้อเท็จจริง เวลาเราศึกษามาศึกษาก็ไปฝึกงานๆ ฝึกงานก็ฝึกงานกับโรงงานของคนอื่นเขา เราก็ไปเห็นในโรงงานนั้นว่ามันมีมากมีน้อยขนาดไหน จัดหมวดหมู่ของการเก็บรักษา นี่เราก็ไปดูมา แต่ของเรามันไม่มี เราไปดูของเขา แล้วของเรานี่ชิ้นหนึ่งหามาได้ไหม

นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ความรู้ความดีงามของเรานี่ซักชิ้นหนึ่งมีไหม ที่บวชเรียนมานี่ที่มันอาศัยอยู่นี่อาศัยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ที่อยู่ที่กินอยู่นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกาเขาเชื่อถือศรัทธา เขาถึงได้ทำบุญกุศลของเขา เนื้อนาบุญของโลก เขาอุตส่าห์มาทำบุญกับเรา เพราะอะไร เพราะเขาเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่เชื่อเราหรอก เขาไม่ได้เชื่อเรา! เขาไม่เชื่อเอ็งหรอก! เขาเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราอยู่เรากินอยู่นี่มันได้มาจากธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานะ อย่าลืมตัวลืมตน นี่ไม่ใช่ว่าเราบวชมาแล้ว เราเป็นพระ สถานะของพระนี่จะสูงจะส่งจะเหยียบย่ำเขาไปทั่ว มันจะไปเหยียบย่ำใคร เหยียบย่ำกิเลสของตัวสิ กิเลสของตัวนี่หน้าที่ของเรานี่เหยียบย่ำมันลงไป ถ้าเหยียบย่ำกิเลสของตัวแล้วนี่ นี่กิเลสของเราเห็นไหม ถ้าในใจมันสำรอกมันคายออกไปแล้ว เราจะอยู่ที่ไหนอยู่อย่างไร มันไม่เดือดร้อน ญาติโยมก็ส่วนญาติโยม เราก็ส่วนเรา สิ่งนี้ถ้าเป็นเนื้อนาบุญของโลกเขาแสวงหาของเขา อันนั้นมันเป็นสิทธิของเขา เพราะเขาอยากได้ประโยชน์ของเขา

แล้วเราล่ะ? เรามีประโยชน์อะไรให้เขา เราทำบุญแล้วอะไรเป็นบุญกุศลบ้าง มันเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้ามันเป็นความจริง เรารักษาตัวเราที่นี่เห็นไหม มันก็สมบูรณ์ขึ้นมา เราไม่ลืมตัวลืมตน ลืมตัวลืมตนนะ มันเสียหายไปทุกๆ เรื่องเลย ถ้าไม่ลืมตัวลืมตนนะ เราจะมีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญานี่มันดีงามตั้งแต่เริ่มต้น ชีวิตเราก็ดีงาม ชีวิตของเราเห็นไหม มันมีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่อัตตัตถสมบัติ เขามีบัญชีคุม เขาหาสมบัติไม่ได้

แต่เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามามันมีสมบัติแล้ว มันมีศีล มันมีสมาธิ แล้วถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญามันเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาการบริหารจัดการแล้ว เรามีบัญชีคุมด้วย เรามีคุณสมบัติตามความเป็นจริงด้วย เรามีข้อเท็จจริงขึ้นมาตามความเป็นจริงเห็นไหม แล้วเรามีภาวนามยปัญญา เราบริหารจัดการเห็นไหม มรรคญาณ นี่วิปัสสนา เวลาเกิดวิปัสสนา วิปัสสนาในการแยกแยะนี่มันเกิดวิปัสสนา มันใช้ปัญญา ปัญญาแยกแยะ ปัญญารู้แจ้ง มันรู้แจ้งในหัวใจเห็นไหม รู้แจ้งในสิ่งที่มันตกผลึกในหัวใจ รู้แจ้งสิ่งที่มันป่ารกชัฏที่ในใจ นี่อวิชชาที่มันครอบงำอยู่ เราได้วิปัสสนา เราได้แยกแยะของมันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

นี่มันคืออะไรล่ะ นี่อัตตัตถสมบัตินะ ที่เราบวชกันมา เราฝึกหัด เราฝึกหัดล้มลุกคลุกคลาน เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา รักษาศีลให้มันสะอาดบริสุทธิ์ๆ เพื่อไม่ให้มันหลอกลวงหัวใจของเรา ไม่ให้อวิชชามันเอาสิ่งที่เราทำผิดขึ้นมาฟาดฟันหัวใจของเรานะ ทำผิดอยู่อย่างนี้เห็นไหม ทุจริตอย่างนี้เห็นไหม แล้วยังจะอวดว่ามานั่งสมาธิ ยังอยากว่าจะมีปัญญา ปัญญานี่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของเราไม่มี

เวลามันโต้แย้งขึ้นมานี่คอตก นั่งสมาธิแล้วก็คอตกเลย แล้วเราจะทำของเรายังไง แต่ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้น อ้าว! ก็ความจริงนี่มันมีปัญญาขึ้นมา ไอ้สิ่งที่ทำมามันเป็นอกุศล อกุศลนี่คนทำความผิดพลาดมามันก็มีเห็นไหม ถ้าเกิดความผิดพลาดมาก็ได้ปลงอาบัติแล้ว สิ่งที่ปลงอาบัติแล้วนี่จะสำรวมระวังต่อไป สิ่งที่ปลงอาบัติแล้วก็จบกันไป

ในปัจจุบันนี้มันเกิดขึ้นมา มันมีสิ่งใดเป็นความทุจริตขึ้นมาเห็นไหม ความทุจริตมันเกิดจากอะไร เกิดจากความไม่รู้ เกิดจากอวิชชา แล้วถ้าเรามีสติปัญญา เรามีวิชชาความรู้ของเรา เราแยกแยะของมันแล้วนี่ สิ่งที่เป็นอวิชชาว่าความไม่รู้ แล้วนี่มันรู้แล้วรู้อะไรล่ะ รู้ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา มันเกิดจากอวิชชา แล้วอวิชชาทำความสงบของใจเข้าไปแล้ว สิ่งที่มันทำความสงบของใจเข้าไปแล้ว แล้วมันเกิดจิตสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นเกิดจากนิมิต เห็นเกิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากหัวใจ

ถ้าเกิดขึ้นจากหัวใจ ถ้าเราพิจารณาไปมันเป็นไตรลักษณ์ที่มันทำลาย ทำลายกลางหัวใจนั้น ถ้ามันทำลายกลางหัวใจนั้น สิ่งที่มันทำลายกลางหัวใจนั้น มันสิ่งที่พิจารณากาย กายมันย่อยสลายไป กายมันคืนสู่สภาพเดิมของมันไป มันเหลือสิ่งใดล่ะ มันเหลือแต่ความว่างเปล่าๆ ความว่างเปล่ามันเกิดจากอะไร มันเกิดจากวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณคือการวิปัสสนาของเราคือปัญญาที่วิปัสสนาขึ้นไป

มันว่างเปล่าตรงไหนล่ะ มันว่างเปล่าเพราะอะไรล่ะ มันว่างเปล่าเพราะปัญญา ปัญญามันจะไปทำลายอวิชชา ปัญญา วิชชามันจะไปทำลายอวิชชา วิชชาความรู้มันสำรอกมันจะคายความไม่รู้อันนั้น ถ้าความรู้อันนั้นทำให้จิตใจมันก็ฉลาดขึ้นมา จิตใจฉลาดขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ มันเสวยอารมณ์ มันเสวยอารมณ์ไปตามสัญญาอารมณ์ มันเสวยอารมณ์ไปโดยอวิชชา โดยกิเลสมันชักนำไป โดยความไม่รู้เท่าไป ด้วยความลืมตัว

แต่มันมีสติมีปัญญามันทำใจสงบเข้ามา ใจสงบเข้ามาแล้วนี่มันมีปัญญาขึ้นมา มันวิปัสสนาขึ้นไปแล้วนี่ มันแยกแยะ มันสำรอกมันคายของมัน มันไปด้วยวิชชาเห็นไหม วิชชาเห็นไหม มันเป็นปัญญาญาณ ปัญญาญาณมันสำรอกมันคายของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะลืมตัวได้ไหม มันเห็นโทษเห็นภัยไปหมด มันเห็นโทษเห็นภัยเพราะความขาดสติ เห็นโทษเห็นภัยเพราะความลืมตัว

แต่ถ้ามีสติขึ้นมามันไม่ลืมตัว มันมีเจตนาที่ดี มันทำที่ดี มันเป็นมรรค มรรคขึ้นไป มันแยกแยะของมันไป มันทำงานของมันไป พอทำงานของมันไปมันสำรอกมันคายของมันไป เห็นไหม แล้วมันเกิดปัญญาญาณอย่างนี้ แล้วพระปฏิบัติมันจะไปต้องการอะไรล่ะ ในเมื่อมันเกิดภาวนามยปัญญา มันเกิดปัญญาญาณอย่างนี้ แล้วมันมีสมบัติใดในโลกนี้มีคุณค่าเท่านี้ล่ะ ที่เราบวชมานี่ เราแสวงหากันนี่เราแสวงหาที่นี่

บริษัท ๔ เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณีที่ปฏิบัติใหม่ๆ ภิกษุ ภิกษุณีที่เขาบวชแล้วปฏิบัติไม่เป็นเขาก็หวังพึ่งนี่ล่ะ เขาก็หวังครูบาอาจารย์ที่ชี้นำชักนำให้มันเกิดมรรคญาณ ให้มันเกิดสัจจะความจริง ให้มันเกิดอัตตัตถสมบัติ แล้วถ้าเกิดอัตตัตถสมบัติแล้ว คิดดูสิสัจธรรมอันนี้มันเกิดขึ้นไป อะไรมันจะมีคุณค่าล่ะ แม้แต่พรหม ตั้งแต่พรหมลงมา มันยังไม่มีคุณค่าเท่ากับสัจธรรมในหัวใจของเรานี้เลย

แล้วธรรมที่มันเกิดขึ้นมาๆ เราแสวงหาเห็นไหม แสวงหามันเกิดมาจากอะไร เกิดมาจากว่าเก็บเล็กผสมน้อย แสวงหาจากการไม่ลืมตัวลืมตน ต้องมีสติสัมปชัญญะที่การกระทำขึ้นมา ไม่ใช่ลืมตัวลืมตนไป เหยียบย่ำไป ทำลายตัวเองไป มันทำลายตัวเองไปเห็นไหม ทำลายตัวเองไป แต่มันมีครูบาอาจารย์ที่วางรากฐานไว้ให้สังคมเขาเชื่อถือ ดูสิ เวลาเขาบอกบวชพระๆ มานี่เห็นไหม บวชพระนี่เห็นแก่ผ้าเหลือง เอ้า! ผ้าเหลืองแถวร้านขายสังฆภัณฑ์มันเยอะแยะ ทำไมเขาไม่เห็นแก่ร้านนั้นบ้างล่ะ เวลาเขาพูดเขาก็พูดไปด้วยความจนตรอกเห็นแก่ผ้าเหลือง คือเขาไม่กล้าโต้แย้งไง เพราะว่ามันมีวัฒนธรรมในหัวใจไง

วัฒนธรรมในหัวใจเห็นไหม เพราะเราเป็นชาวพุทธเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระสงฆ์มาทำตัวอย่างนั้นมันอึดอัด เขาเห็นแล้วมันบาดหัวใจ แต่เขาพูดไม่ออกเห็นไหม นี่ไอ้พวกพระหน้าด้านมันก็ได้ใจ พระหน้าด้านมันก็ทำมาตามสบายใจของมัน เพราะมันลืมตัวลืมตนไง เพราะลืมตัวลืมตนมันเหยียบย่ำตัวมันเอง เหยียบย่ำหัวใจตัวมันเอง เหยียบย่ำวัฒนธรรมสังคมไปหมดเลย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราเห็นแก่คุณงามความดี เราไม่ลืมตัวลืมตนนะ เราบวชมาแล้ว เราไม่ได้บวชมาด้วยความหนีทุกข์จากโลก เราบวชมาเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เราจะหวังพ้นไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเลยล่ะ เราหวังมรรคผลนิพพาน เราบวชมาเราหวังมรรคผลนิพพาน เราไม่ใช่บวชมาเพื่อหนีทุกข์มาเพื่อจะมาอยู่ในสุขในปัจจัยเครื่องอาศัย ที่ว่ามีความสุขหนีจากโลกมาไง หนีความทุกข์มาเพื่อมาพออยู่อาศัยไปอย่างนั้น เครื่องอยู่อาศัยเห็นไหม ถ้าอยู่อาศัยนี่ถ้าคิดได้แค่นั้นมองได้แค่นั้น นี่บวชหนีทุกข์ ทุกข์ทางโลกนะ

แต่เราบวชมานี่เราบวชหนีวัฏฏะ บวชเพื่อจะไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้อีกเลย มันจะวิวัฏฏะ มันจะหักวัฏฏะนี้ออกไป ถ้าจะหักวัฏฏะออกไปต้องมีสติมีปัญญา ต้องสำนึกตนเองว่าเราเป็นพระ เราเป็นภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร ปฏิสนธิจิตจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไอ้ข้าวของนี่มันผลิตออกมาจากอุตสาหกรรม มันผลิตออกมาเครื่องจักร เครื่องจักรมันหาวัตถุดิบมานี่ยัดเข้าไป มันออกมาเป็นวัตถุ มันเป็นอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยที่เห็นอยู่ดื่นดาษทั่วโลก เห็นอยู่ดื่นดาษไปทั่วโลกเลย ใครๆ ก็มีสิทธิจะใช้สอยมัน แล้วเราบวชมาเป็นพระเห็นภัยในวัฏสงสาร แล้วจะไปตื่นเต้นกับไอ้พวกเทคโนโลยี ไอ้พวกสิ่งที่โลกเขาเอามาใช้เพื่อประโยชน์กับเขา เราต้องการศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องการมรรคญาณ เราต้องการวิปัสสนาญาณเพื่อแทงทะลุในหัวใจของเรา ถ้าแทงทะลุในหัวใจของเรา เห็นไหม เราต้องมีเจตนาที่ดี เราต้องมีสติปัญญา เราไม่ใช่ขาดสติปัญญา เราไม่ลืมตัวลืมตน เวลาสุขขึ้นมาแล้วชินชาหน้าด้านแล้วมันก็ออกไปทางโลกนั่นน่ะ

แต่ถ้าเรามันตื่นตัวตลอดเวลา ของของโลก! เราไม่ต้องการ เราไม่ต้องปรารถนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เรามาบวชเป็นพระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยด้วยความจำเป็น ไม่ใช่มาลืมตัวลืมตนเห็นสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เห็นสิ่งนั้นมีคุณค่า แล้วเลยมองข้ามมรรคผลนิพพานไปเลย

เราจะย้อนกลับมาที่มรรคผลนิพพาน บวชมาเป็นพระ นี่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นหลักชัยของศาสนา เราต้องตั้งสติ เราต้องมีสติปัญญาเพื่อรักษาตัวให้รอด เขาหวังพึ่งพระนะ เขาเห็นพระนี่เขาบอกพระเป็นนักรบ เขาหวังพึ่งพระ พระจะต้องเป็นหลักชัย ฉะนั้น เราจะต้องมีสติมีปัญญา

ถ้ามีสติมีปัญญา พยายามฝึกฝนตัวเองให้มีหลักมีเกณฑ์ ฝึกฝนตัวเองให้อยู่ในกรอบ เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม เคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่แสดงธรรมด้วย พยายามฝึกฝน นี่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วพยายามฝึกฝนขึ้นมาให้มันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ให้มันกังวานในหัวใจของเรา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เอวัง